ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของโลกในปี 2025 นี้ Bitcoin ก็ยังคงสร้างความสนใจในโลกการเงินอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยมีการคาดการณ์มากมายเกี่ยวกับศักยภาพในการทําลายสถิติสูงสุดใหม่ ในการสํารวจว่า BTC มีโอกาสที่จะไปถึง $200,000 ในรอบนี้หรือไม่ ในบทความนี้เเราจะคุณมาเจาะลึก ถึงกลไกในตลาดและปัจจัยสำคัญที่มีผลผลักดันให้ราคาของบิทคอยน์สูงขึ้น
กลไกในตลาดและปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Bitcoin
Bitcoin นั้นถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อราคาและมูลค่าในตลาด การทำความเข้าใจถึงกลไกและปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มของตลาดบิทคอยน์ได้ดียิ่งขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ควรพิจารณาดังต่อไปนี้
-
อุปสงค์และอุปทาน
ในขั้นตอนแรกของการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไลในตลาดของบิทคอยน์ เราต้องเข้าใจถึงเรื่องอุปสงค์และอุปทานของเหรียญเสียก่อน เพราะแก่นแท้ของราคา Bitcoin นั้นถูกขับเคลื่อนโดยอุปสงค์และอุปทาน หากอุปทานลดลงหรือคงที่ในขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้น เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อประเมินเรื่องนี้ เราจะพิจารณาได้ว่ามีการสะสม BTC ใหม่จากผู้เข้าร่วมตลาดรายใหม่มากน้อยเพียงใด และมีการกระจายเหรียญจากผู้ถือครองระยะยาวมากน้อยแค่ไหน
-
บทบาทของผู้ถือครองระยะยาว
ผู้ถือครองระยะยาวถูกกําหนดให้หมายถึงกลุ่มคนที่ถือครองบิทคอยน์มานาน 155 วันหรือมากกว่านั้น ซึ่งกลุ่มนี้มักมีผลกระทบต่อสภาวะตลาดอย่างมีนัยสําคัญ เมื่อเร็ว ๆ นี้ การถือครองของผู้ถือระยะยาวได้แตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 16.14 ล้าน BTC อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จํานวนดังกล่าวลดลงเหลือประมาณ 14.5 ล้าน BTC การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ถึงการย้ายบิทคอยน์จํานวนมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อพลวัตของตลาดได้
-
ผู้ถือครองระยะสั้นและผลกระทบต่อตลาด
ผู้ถือครองระยะสั้น รวมถึงนักลงทุนสถาบันและองค์กรต่าง ๆ กําลังสะสมบิทคอยน์ อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมของพวกเขาสามารถส่งผลต่อมูลค่าตลาดและราคาของบิทคอยน์การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง money multiplier effect จะช่วยให้เราเข้าใจว่าการไหลของเงินเข้าหน่วยละ 1 ดอลลาร์นั้นสามารถส่งผลต่อมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ได้มากแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น หากเราพิจารณาว่าเงินที่ลงทุนใน BTC มูลค่า 1 ดอลลาร์สามารถเพิ่มมูลค่าตลาดขึ้นประมาณ $2.5 ถึง $6.73 ก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสําคัญจากการลงทุนใหม่ได้
-
การคํานวณผลคูณทางการเงิน
และเพื่อให้ความเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มราคาของบิทคอยน์ ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคต เราสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง supply ของผู้ถือครองระยะยาวและระยะสั้น กับ market cap ได้ โดยการเฉลี่ยข้อมูลในช่วง 90 วัน เราพบว่าปัจจุบันผลคูณทางการเงินอยู่ที่ประมาณ 6.73 ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ การลงทุน $1 จะทําให้ market cap เพิ่มขึ้นประมาณ $6.73
ปัจจัยที่จะส่ง BTC ไปแตะ $200,000
สำหรับการหาค่าของความเป็นไปได้ที่บิทคอยน์จะสามารถทำราคาทะยานไปถึง $200,000 ได้นั้น เราต้องพิจารณาเรื่องมูลค่าตลาดด้วย ปัจจุบันมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ อยู่ที่มากกว่า $2 trillion และหากจะไปถึงราคา $200,000 มูลค่าตลาดจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ $4 trillion ซึ่งความแตกต่าง $2 trillion นี้จะต้องการปริมาณ BTC จํานวนมากในการเปลี่ยนแปลงมือระหว่างผู้ถือ
หากเราสมมติว่าราคาการสะสมเฉลี่ยอยู่ที่ $150,000 จะต้องมีการโอนย้ายบิทคอยน์ประมาณ 1.9 ล้าน BTC จากกลุ่มผู้ถือระยะยาวไปยังผู้ถือระยะสั้น ซึ่งจะทําให้ปริมาณบิทคอยน์ที่กลุ่มผู้ถือระยะยาวถืออยู่ลดลงเหลือประมาณ 12.6 ล้าน BTC อย่างไรก็ตาม ตามแนวโน้มปัจจุบัน ดูเหมือนว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทําได้ยาก เนื่องจากในรอบวัฏจักรล่าสุดเราได้เห็นการลดลงของปริมาณบิทคอยน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมือ
คาดการณ์ราคาบิทคอยน์ในอนาคต จากแนวโน้มในอดีต
ในอดีตที่ผ่านมา เราได้เห็นแนวโน้มที่จํานวนบิทคอยน์ที่ถูกโอนจากผู้ถือครองระยะยาวไปยังผู้ถือครองระยะสั้นลดลงเรื่อย ๆ หากเราดูจากรอบการปรับตัวที่ผ่านมา ปริมาณสูงสุดที่ถูกโอนก็มีแนวโน้มลดลงตามกาลเวลา นี่แสดงให้เห็นว่าการบรรลุจํานวน 12.6 ล้าน BTC ในการถือครองระยะยาวอาจจะไม่เป็นไปได้ในขาขึ้นรอบนี้ อย่างไรก็ตาม หากเราปรับความคาดหวังมาที่ราคาประมาณ $150,000 ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยการถือครองในระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 13.3 ล้าน BTC ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์มากกว่า
บทสรุป
โดยสรุป แม้ว่าการที่บิทคอยน์จะทำราคา $200,000 จะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่จําเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญในไดนามิกของตลาด ตัวชี้วัดในปัจจุบัน เช่น money multiplier effect และแนวโน้มในการถือครองระยะยาวบ่งชี้ว่า แม้จะเป็นไปได้ แต่การตั้งเป้าด้วยกรอบระหว่าง $150,000 ถึง $250,000 อาจดูสมเหตุสมผลมากกว่า ตลาดยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสนใจจากสถาบันที่เพิ่มขึ้น เราอาจได้เห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดในอนาคต ดังนั้นสิ่งสําคัญคือการรับข้อมูลให้ครบถ้วนและพิจารณาปัจจัยทุกประการก่อนตัดสินใจลงทุน